วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

10 สุภาษิตจีน ยอดนิยม

10 สุภาษิตจีน ยอดนิยม


1.อวี๋กงย้ายภูเขา 愚公移山Yúgōngyíshān


ในภาพอาจจะมี 2 คน
อวี๋กงย้ายภูเขา

     นานมาแล้ว บริเวณตอนใต้ของเมืองจี้โจว และตอนเหนือของเมืองเหอหยางในประเทศจีน มีภูเขาใหญ่ตั้งอยู่ 2 ลูก ทางเหนือของภูเขามีตาเฒ่าชื่ออวี๋กงอาศัยอยู่ วันหนึ่งอวี๋กงได้เรียกคนในครอบครัวมาประชุมกัน เขาพูดว่า “เวลาจะเข้าออกบ้านแต่ละครั้ง ภูเขาทั้งสองทำให้เราต้องเดินอ้อมไกล ฉะนั้นเพื่อไม่ลูกหลานรุ่นหลังต้องมาลำบากแบบนี้ต่อไป เรามาช่วยกันขุดภูเขาทิ้งกันเถอะ” ลูกหลานของเขาต่างก็เห็นด้วย
     วันต่อมา อวี๋กงเริ่มลงมือนำเหล่าลูกหลานไปช่วยกันทุบหิน ขุดดินจากภูเขา โดยใช้บุ้งกี๋ขนหินและดินไปทิ้งที่ทะเลโป๋ไห่ ตาเฒ่าอีกคนหนึ่งนามว่า จื้อโส่ว เห็นว่าอวี๋กงทำเช่นนี้เป็นการเสียแรงเปล่า จึงพูดขึ้นว่า “ท่านก็อายุปูนนี้แล้ว จะขุดภูเขาลูกนี้ได้หมดหรือ” อวี๋กงซึ่งเป็นคนมองโลกในแง่ดี จึงตอบไปว่า “ข้าตายก็ยังมีลูก ลูกตายก็ยังมีหลาน หลานตายก็ยังมีลูกของหลาน เป็นรุ่นๆ เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น แต่ภูเขาไม่มีวันสูงขึ้นอีกแล้ว ต้องมีสักวันที่พวกเราขุดภูเขาลูกนี้ได้หมดสิ้น”
     เรื่องนี้รู้ถึงหูของเทวดาประจำเขา เทวดาเกรงวว่าอวี๋กงคงจะไม่ยอมหยุดขุดภูเขาแน่ๆ จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลต่อเง๊กเซียนฮ่องเต้ เง๊กเซียนฮ่องเต้รู้สึกได้ถึงจิตใจอันสัตย์ซื่อและน้อบน้อมของอวี๋กง จึงสั่งให้ลูกสองคนของควาเอ๋อซื่อ ซึ่งเป็นเทพผู้มีพละกำลัง ทำการแบกภูเขาไปไว้ที่อื่น นับแต่นั้นมาทางตอนใต้ของเมืองจี้โจ้วเรื่อยไปจนถึงปม่น้ำฮั่นสุ่ยก็ไม่มีภูเขามาขวางกั้นอีกเลย
     สุภาษิต “อวี๋กงย้ายภูเขา” ให้กำลังใจกับผู้คนว่า ขอให้เรามีจิตใจแน่วแน่ ยืดหยัดมั่นคง เราก็จะชนะอุปสรรคได้ในที่สุด


2.นกร้องครั้งเดียวทำคนตกใจ 一鸣惊人Yīmíngjīngrén

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
นกร้องครั้งเดียวทำคนตกใจ


     ยุคก่อนราชวงศ์ฉิน สมัยฉีเวยหวังเจ้าแคว้นฉีขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เขาเอาแต่ดื่มเหล้าหาความสุขใส่ตัว ไม่สนใจการบ้านการเมือง บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นอื่นต่างก็ฉวยโอกาสหาทางโจมตีแคว้นฉี ขุนนางท่านหนึ่งชื่อ ฉุนอวี๋คุน เมื่อเห็นบ้านเมืองจะถูกรุกรานจึงคิดหาวิธีเตือนสติเจ้าแคว้นฉี ซึ่งเขารู้ว่าเจ้าแค้วนฉีชอบทายปัญหา จึงตั้งปริศนาข้อหนึ่งว่า “แคว้นเรามีนกตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง สามปีที่แล้วมันก็อยู่ที่ลานหน้าห้องมุขท่านอ๋อง แต่ไม่ยอมบินและร้องเลย ขอถามท่านว่ามันเป็นนกอะไร"
     เมื่อได้ฟัง เจ้าแคว้นฉีก็ทราบทันทีว่าหมายถึงตน จึงตอบกลับไปทันทีว่า “เจ้านกตัวนี้ไม่ยอมบินก็ช่างเถอะ แต่เมื่อมันบินขึ้นมาจะตองพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเป็นแน่ และมันไม่ร้องก็ช่างมัน แต่ถ้ามันได้ร้องเมื่อไร จะต้องทำให้คนตกใจเป็นแน่”
     ไม่นานฉีอ๋องก็เรียกขุนนางทั้ง 72 อำเภอมาเข้าเฝ้าและว่าราชการ ซึ่งเขาฉลาดหลักแหลมและเฉียบขาด สร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าทหารของแคว้น จากนั้นก็จึงนำทัพออกรบด้วยตนเอง และได้ชัยชนะกลับมา เขาใช้การปฏิบัติจริงมาอธิบายคำตอบของเขาเอง ว่า เมื่อนกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า คนทั้งแผ่นดินก็จะต้องเห็นและตกตะลึง ในที่สุดฉีเวยอ๋องก็ได้รับความชื่นชมและเคารพรักจากประชาชนของเขา 
     ต่อมาคนรุ่นหลังใช้สุภาษิตนี้ ไปแนวๆ ว่า คนปกติที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่เมื่อได้รับโอกาสสำคัญกลับทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม


3.เพียงเปิดหนังสือก็ได้รับประโยชน์ 开卷有益 Kāijuàn yǒuyì


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
เพียงเปิดหนังสือก็ได้รับประโยชน์




     ซ่งไท่จงฮ่องเต้ ชอบอ่านหนังสือมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือประเภทวรรณคดี และประวัติศาสตร์ พระองค์มีบัญชาให้หลี่ฝาง และนักวรรณคดีอื่นๆ อีกหลายคนช่วยกันจัดทำสารานุกรมมาชุดหนึ่ง ใช้เวลาเรียบเรียงอยู่หลายปี จนได้ทั้งหมด 1,000 เล่ม 55 หมวด ซึ่งก็คือหนังสือ 太平御览(Tàipíng yù lǎn) ไท่ผิงอวี้หลาน ซึ่งเป็นหนังสือที่มีชื่อเสียง พระองค์ตั้งปณิธานว่าตนเองจะต้องอ่านวันละสามเล่ม ถ้าวันไหนมีภารกิจสำคัญไม่ได้อ่าน ก็จะต้องมาอ่านชดเชย คนอื่นๆ รอบข้างก็มองว่าพระองค์ทรงใช้เวลาอ่านหนังสือนานไป เกรงจะกระทบต่อสุขภาพก็จึงแนะนำให้พักผ่อนบ้าง แต่พระองค์กลับตอบว่า “เพียงเปิดหนังสือก็ได้รับความรู้ข้ากลับไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลย”
     ในเวลาต่อมาผู้คนจึงใช้สุภาษิต “ไค่จ้วนโหย่อวิ้” เตือนใจสำหรับประโยชน์ของการอ่านหนังสือ เพราะการอ่านหนังสือทำให้เรามีความรู้มากขึ้น

4.เจียงหลางผู้หมดความสามารถ 江郎才尽Jiānglángcáijìn

ในภาพอาจจะมี การวาดรูป
เจียงหลางผู้หมดความสามารถ
     ยุคโบราณมีชายคนหนึ่งนามว่า “เจียงเยียน” เมื่อเขายังหนุ่มเขาเขียนกลอนได้ยอดเยี่ยมมาก แต่พอแก่ตัวไปกลับหมดแรงบันดาลใจในการเขียนลง วันหนึ่งเจียงยียนได้ไปพักแรมที่เมืองเหย่ถิง เขาฝันเห็นกัวผู (กวีท่านหนึ่งที่ได้รับการยกย่อง) ซึ่งในฝันกัวผูพูดกับเขาว่า “ข้ามีพู่กันด้ามนึงที่เก็บไว้ให้ท่านมาหลายปีละ ตอนนี้เอาคืนข้ามาเหอะ”
     ในฝันนั้น เจียงเยียนได้หยิบพู่กันห้าสีออกมาจากเสื้อแล้วส่งให้กัวผู นันแต่นั้นเจียงเยียนก็ไม่ได้เขียนกลอนดีๆ ออกมาอีกเลย
     ในเวลาต่อมาสุภาษิต “เจียงหลางไฉจิ้น” ใช้เตือนใจผู้คนทั้งหลายว่า การเรียนไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตหนึ่งของคนก็เปรียบเหมือนการเรียน ถ้าไม่พยายามก็จะมีแต่ถอยหลัง ถึงจะมีพรสรรค์ติดตัวมา แต่ถ้าไม่หมั่นฝึกฝนตนเอง ฝีมือก็จะหายไป และถ้าแปลโดยกูเกิ้ลจะให้ความหมายว่า “ตกต่ำ”


5.เสียงเพลงพื้นเมืองแคว้นฉู่ดัง 4 ทิศ 四面楚歌Sìmiànchǔgē


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
เสียงเพลงพื้นเมืองแคว้นฉู่ดัง 4 ทิศ 

     เซี่ยงอวี่แห่งแคว้นฉู่ กับ หลิวปังแห่งแว้นฮั่น ทำสงครามแย่งแผ่นดินจีนกัน จนในที่สุดเซี่ยงอวี่อยู่ในสภาวะย่ำแย่ ทหารก็เหลือน้อย เสบียงก็เริ่มหมด เขาแหละทหารที่เหลือถอยไปตั้งหลักที่เมืองไกเซี่ย เมื่อทัพใหญ่ของหลิวปังมาถึงและได้ล้อมเมืองไว้ ตกดึก หลิวปังก็ให้ทหารของตนร้องเพลงพื้นเมืองของแคว้นฉู่อย่างเสียงดัง เซี่ยวอวี่ได้ยินก็ตกใจ คิดว่าหลิวปังยึดครองแคว้นฉู่ได้แล้ว ถึงกับนอนไม่หลับ นั่งดื่มเหล้าจนเมามาย ลูกน้องก็เช่นกันต่างก็คิดถึงบ้านของตนเอง ไม่มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป และพ่ายศึกในที่สุด ต่อมาหลิวปังก็ได้ครองแผ่นดินทั้งหมดและสถาปนาราชวงศ์ฮั่น
     ในเวลาต่อมา ผู้คนจึงใช้สุภาษิต “ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ” มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ถูกอุปสรรคต่างๆ รุมล้อม จนไม่มีความหวังที่จะสู้ต่อไป

6.กบในบ่อน้ำ 井底之蛙Jǐngdǐzhīwā

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
กบในบ่อน้ำ

     มีกบตัวหนึ่งอาศัยในบ่อน้ำตื้นๆ วันหนึ่งได้มาเจอกับเต่าตัวใหญ่ที่มาจากทะเลตงไห่ที่ขอบบ่อ กบตัวนั้นพูดกับเต่าว่า “โลกของข้ากว้างใหญ่มาก ข้าสามารถกระโดดขึ้นมาเล่นบนขอบบ่อ หรือจะกระโดดลงไปเล่นน้ำที่ก้นบ่อก็ได้ ช้าครอบครองบ่อน้ำเพียงผู้เดียว ไม่ว่าปูหรือลูกเขียดที่อยู่รอบตัวข้า ไม่มีใครจะสุขเท่าข้าอีกแล้
     เต่าก็จึงพูดว่า “ท่านรู้ไหมว่าเส้นทางไกลพันลี้นั้นไกลเพียงใด ระยะทางที่ไกลเพียงนั้นนังมิกาจใช้บรรยายความกว้างใหญ๋ของทะเลตงไห่ได้ ท่านรู้ไหมว่าความสูงพันจ้างนั้นสูงเท่าไร(หน่วยวัดของจีน) พันจ้างนั้นสูงขนาดนั้นยังมิอาจวัดความลึกของทะเลตงไห่ได้ การได้ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลตงไห่ทำให้ข้ามีความสุขที่สุด” เมื่อกบได้ฟังดังนั้นจึงร็สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก และมันก็ได้รับรู้ว่าตนเองนั้นช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิ
     สุภาษิต “จิ๋งตี่จือวา” ใช้เสียดสีคนที่มักจะคิดว่าตนเองรู้มาก แต้แท้จริงแล้วรู้แค่กรอบแคบๆ เท่านั้น

7.แพะหายล้อมคอก 亡羊补牢 Wángyángbǔláo

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
แพะหายล้อมคอก

     ยุคก่อนราชวงศ์ฉิน ฉู่เซียงหวัง เจ้าแคว้นฉู่ เอาแต่หาความสุขใส่ตัว ไม่สนใจบริหารบ้านเมือง จวงซินซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็แนะนำตักเตือนอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ฟัง จนกระทั่งแคว้นฉินบุกมาโจมตีคูเมือง และกำแพงเมืองของแคว้นฉู่ จนพังไปหลายแห่ง ฉู่เซียงหวังคิดได้ และรู้สึกสำนึกผิด จึงอยากแก้ตัว โดยได้พูดกับจวงซินว่า “ข้าไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของท่าน จึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไรดี” จวงซินตอบว่า “มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า เห็นกระต่ายแล้วจึงปล่อยสุนัขล่าสัตว์ไม่นับว่าช้าเกินไป วัวหายแล้วจึงล้อมคอกก็ยังถือว่าทันการณ์” พระเจ้าซางทังหวังและพระเจ้าโจวอู่หวังมีที่ดินเพียง 100 ลี้ ก็ยังช่วงชิงแผ่นดินจีนมาได้ แต่พระเจ้าเซี่ยเจี๋ยวหวังและพระเจ้าซางโจ้วหวัง แม้จะครอบครองทั้งแผ่นดินแต่สุดท้ายประเทศชาติก็ดับสูญ ตอนนี้แม้ว่าแคว้นฉู่จะเล็ก แต่ก็ยังมีอาณาเขตอยู่หลายพันลี้ ยังแย่งชิงพื้นที่คืนมาได้” และแล้วฉู่เซียงหวัง ก็ใช้แผนการของจวงซิน รบขับไล่ศัตรูออกไปได้ 
     ในเวลาต่อมาผู้คนจึงใช้สุภาษิต “หวังหยางปู่เหลา” มาใช้ในความหมายที่ว่า เมื่อเกิดปัญหาแล้ว ให้รีบหาหนทางแก้ไข เพื่อจะได้คลี่คลายสถานการณ์ได้ทันท่วงที ปัญหาจะได้ไม่ลูกลามบานปลาย ถ้ากดกูเกิ้ล จะแปลว่า “แก้ไขสถานการณ์”

8.ปิดหูขโมยระฆัง掩耳盗铃Yǎn'ěrdàolíng 
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ปิดหูขโมยระฆัง

     ปลายยุคชุนชิว บ้านตระกูลฟั่นซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ ถูกแคว้นจิ้นปราบยกครัว ทรัพย์สินในบ้านก็ถูกขโมยไปด้วย เหลือแค่ระฆังใบใหญ่วางอยู่ข้างบ้าน ต่อมามีชายคนหนึ่งมาเจอระฆังใบนี้ จึงคิดจะขโมย แต่ระฆังใหญ่และหนักเกินกว่าที่จะยกไป จึงคิดจะทุบแยกชิ้นไป แต่เขาเกรงว่าเมื่อทุบแล้วจะเกิดเสียงดัง เขาจึงใช้ผ้าอุดหูเพื่อจะได้ไม่เสียงดังตอบที่ทุบระฆังพอเขาเริ่มทุบระฆัง ชาวบ้านโดยรอบก็ได้ยินเสียงและได้เข้ามาจับตัวเข้าไว้ได้ 
     ในเวลาต่อมาผู้คนใช้สุภาษิต “เหยียนเอ๋อร์เต้าหลิ่ง” เปรียบเปรยถึงคนที่คิดว่าตนเองถูกต้อง หรือคนที่หลอกตัวเองและหลอกคนอื่นด้วย กูเกิ้ลแปลว่า “การหลอกลวง”

9.ตาเฒ่าสูญเสียม้า แต่นำมาซึ่งความสุข 塞翁失马焉知非福Sàiwēngshīmǎ yān zhī fēi fú

ในภาพอาจจะมี การวาดรูป

     นานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ชายแดนของเขตที่ราบภาคกลาง วันหนึ่งม้าของพวกเขาวิ่งหนีเข้าไปในเขตแดนของชนผ่าหู เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าวก็พากันมาปลอบใจว่า “ม้ามันหนีหายไปแล้วก็ช่างมันเถอะ” แต่ตาเฒ่ากลับพูดว่า “บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”
     ผ่านไปหลายเดือนม้าของบ้านนี้วิ่งกลับมา และมีม้าพันธุ์ดีของชาวเผ่าหูวิ่งตามหลังมาด้วย เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าวต่างก็มาแสดงความยินดี แต่ตาเฒ่ากลกับพูดว่า “นี่อาจเป็นเรื่องร้ายก็ได้นะ” 
ไม่นาน ลูกชายของตาเฒ่าคนนี้ได้ขี่ม้าของชาวเผ่าหูแต่ถูกสะบัดตกลงมาจนขาหัก ทุกคนต่างช่วยกันปลอบใจ ตาเฒ่าพูดขึ้นมาอีกว่า “นี่อาจเป็นเรื่องดีก็เป็นได้”
     หลังจากนั้นหนึ่งปี ชาวหูเริ่มรุกรานบริเวณชายแดน ชายหนุ่มต่างถูกเกณฑ์เข้าร่วมกองทัพ ผลการรบกันมีการสูญเสียเป็นอย่างมาก หลายชีวิตต้องตาย มีเพียงลูกของตาเฒ่าที่รอดเพราะไม่ได้ถูกเกณฑ์ไปรบเนื่องจากขาพิการ ชีวิตของสองพ่อลูกจึงปลอดภั
     คนรุ่นหลังใช้สุภาษิต “ไซ่เวิงซือหม่า เยียนจือเฟยฝู” เพื่อสอนใจว่า ชีวิตต้องมีสุขทุกปนๆกันไป ในเรื่องดีๆ ก็อาจมีเรื่องร้าย และในเรื่องร้ายก็อาจมีเรื่องดีๆ

10.ขัดแย้งในตัวเอง 自相矛盾Zì xiāng máodùn

ในภาพอาจจะมี 6 คน, คนที่ยิ้ม
ขัดแย้งในตัวเอง

     มีพ่อค้าคนหนึ่งขายหอกและโล่ในเวลาเดียวกัน เพื่อกระตุ้นยอดขายโล่ เขาจึงตะโกนว่า “โล่ของเรานี้ดีที่สุด ของมีคมใดๆ ไม่สามารถแทงทะลุได้” สักพักก็โม้ถึงสรรพคุณหอกที่ขาย ว่า “หอกของเรานี้คมที่สุด ไม่มีสิ่งไดที่ทางไม่ทะลุ” ต่อมามีคนถามเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ลองใช้หอกของท่านแทงโล่ของท่านสิ ผลจะออกมาเช่นไร” พ่อค้าได้ฟังถึงกับพูดไม่ออก 
     ต่อมาสุภาษิต “จื้อเซียงเหมาตุ้น” ได้นำมาใช้ในความหมายทีว่า การกระทำหรือคำพูดขัดแย้งกันเอง ไม่สอดคล้องกับตรรกะ

#ม้าดอย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น